นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคธุรกิจทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยเริ่มกังวลสถานการณ์ความยัดแย้งระหว่างประเทศทั้งสหรัฐ-จีน , จีน-อินเดีย และอื่นๆ ที่อาจพัฒนารูปแบบการต่อสู้จากสงครามการค้า มาเป็นสงครามเทคโนโลยี ค่าเงินบาท และสิทธิมนุษยชน เต็มรูปแบบโดยมีเป้าหมายในการกีดกันการค้าของคู่แข่ง โดยเฉพาะสงครามเทคโนโลยีที่มีหลายประเทศเบนเทคโนโลยี 5 จีและปิดกั้นการมองเห็นแอพพลิเคชั่นของจีน เพราะจะมีผลต่อหลายบริษัทของไทยที่ได้นำแอพพลิเคชันจากจีนมาพัฒนาในการต่อยอดทำธุรกิจทั้งหากลุ่มลูกค้า และการชำระเงินกับลูกค้าทั้งและต่างประเทศ หากถูกปฎิเสธหรือใช้งานไม่ได้ก็จะทำให้ธุรกิจขาดทุน ปลดคนงาน และต้องปิดกิจการได้
สำหรับความขัดแย้งระหว่างประเทศที่เริ่มมาแรงในระยะหลังนอกจากสหรัฐ-จีน แล้ว ก็จะเป็นอินเดีย-จีน ที่พบว่าล่าสุดอินเดียได้มีการปิดกั้นการมองเห็นแอพพลิเคชันของจีนแล้ว 59 แอพพลิเคชัน”Tik Tok” ที่ปัจจุบันมีคนใช้ทั่วโลกกว่า 2,000 ล้านครั้ง, SHEIN, Helo,Likee, WeChat, UC News, Weibo, ROMWE, Vigo Video, Vmate และอื่นๆ เป็นต้น เนื่องจากกระทรวงอิเล็กทรอนิกส์และไอทีของอินเดียให้เหตุผลว่าการปิดกั้นการขึ้งแอพพลิเคชันจำนวน 59 รายการจากจีน เพราะแอพฯเหล่านี้มีอคติต่อความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยของประชาชน
“ก่อนหน้านี้อินเดียและจีนมีความขัดแย้งมาต่อเนื่อง โดยช่วยปีที่แล้วอินเดียประกาศยกเลิกสถานะพิเศษของรัฐจัมูและแคชเมียร์และรวมกินแดนทั้ง 2 ทำให้เกิดประเด็นพิพาทกับจีน จากนั้นช่วงเดือนเม.ย. 63 รัฐบาลจีนได้ประกาศใช้แผนที่ของจีนฉบับใหม่ซึ่งรวมพื้นที่พิพาทระหว่างจีน-อินเดียในแผนที่จีน, เดือนพ.ค. 63 เกิดการปะทะกันระหว่างทหารจีนและอินเดียตามแนวชยแดนซึ่งเกิดการสร้างถนนของอินเดียในพื้นที่พิพาท, ช่วงวันที่ 1-14 เดือนมิ.ย. รัฐบาลจีนและอินเดียตั้งโต๊ะเจรจาในระดับพื้นที่เพื่อลดความขัดแย้งระหว่าง 2 ชาติ แต่ระหว่างวันที่ 15-16 มิ.ย. เกิดการปะทะกันระหว่างทหารจีนและอินเดียทำให้ทหารอินเดียชีวิต 20 รายบาดเจ็บกว่า 70 ราย ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 45 ปีที่มีความขัดแย้งอย่างหนัก ซึ่งปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นนอกจากอินเดียจะปิดกั้นแอพพลิเคชันจีนแล้วก็ยังทำให้ประชาชนอินเดียเรียกร้องให้รัฐบาลงดนำเข้าสินค้าที่ผลิตโดยจีน พร้อมทั้งประท้วงบริษัทเอกชนที่ร่วมทุนกับจีนเพื่อให้ยกเลิกสัญญาทั้งหมด”
ส่วนกรณีที่สหรัฐและชาติอื่นอีก 2-3 ประเทศแบนเทคโนโลยี 5 จีของจีนนอกจากมีผลต่อเรื่องของการค้าระหว่างกันแล้วอาจทำให้ประเทศอื่นๆได้รับผลกระทบไปด้วย โดยเฉพาะประเทศไทยและหลายๆประเทศที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยี 5 จีเพื่อนำไปต่อยอดในการพัฒนาธุรกิจต่างๆ อาจมีผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากทุกบริษัทหันมาพัฒนาธุรกิจแบบออนไลน์กันหมดแล้ว ดังนั้นคงต้องติดตามว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นอย่างไร
นายอัทธ์ กล่าวว่า จากผลกระทบสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี ค่าบาท และสิทธิมนุษยชนนั้นรัฐบาลต้องเร่งหามาตรการในการช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบในปัจจุบันหรือในอนาคต เช่น สนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำเพื่อปรับปรุงเครื่องจักรและการดำเนินธุรกิจ, สามารถใช้ค่าจ้างแรงงานหักภาษี 3 เท่า, จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดทั้งภายในและนอกประเทศ,กระตุ้นการบริโภคและการลงทุนในประเทศ, สนับสนุนองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัย, ใช้กลยุทธ์ด้านราคาเพื่เข้าสู่ตลาดที่กำลังฟื้นตัวและลดภาระค่าใช้จ่ายผู้ประกอบการและประชาชนโดยยกเว้นภาษี เป็นต้น
August 02, 2020 at 03:00PM
https://ift.tt/2Ds9VvE
หวั่นศึกไฮเทคจีน-สหรัฐ ทำธุรกิจไทยเจ๊ง - เดลีนีวส์
https://ift.tt/3dXvwcw
Bagikan Berita Ini
0 Response to "หวั่นศึกไฮเทคจีน-สหรัฐ ทำธุรกิจไทยเจ๊ง - เดลีนีวส์"
Posting Komentar